Subscribe:

DekvanzClub

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554

รอบรู้เรื่องยางรถยนต์

ในช่วงที่ประเทศไทยของเรากำลังอยู่ในช่วงฤดูฝนเช่นนี้ การดูแลรถยนต์ที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อความปลอดภัยของ ผู้ใช้รถยนต์ทุกท่าน อีกทั้งยังช่วยให้เราสามารถประหยัดเงินจากการซ่อมแซมรถยนต์ได้อีกด้วย
ใน เดือนนี้ผมอยากจะแนะนำเกี่ยวกับบรรดายางต่างๆที่ต้องดูแลกันเป็นพิเศษในช่วง ฤดูฝน โดยผมจะเริ่มจากยางปัดน้ำฝน ยางรถยนต์และ ยางหุ้มชิ้นส่วนต่างๆของช่วงล่าง
ลองจินตนาการดูว่า หากท่านขับรถท่ามกลางสายฝนที่ตกหนักโดยที่ใบปัดน้ำฝนของท่านไม่สามารถใช้งาน ได้ ท่านคงเหมือนคนตาบอดเพราะฉะนั้นเราควรดูแลเอาใจใส่เจ้าใบปัดน้ำฝนให้ดี ในส่วนที่ผมจะพูดถึงคือยางที่ติดอยู่กับก้านปัดน้ำฝน หลายคนสงสัยว่าเมื่อไหร่ที่เราควรจะเปลี่ยนยางปัดน้ำฝน ผมขอแนะนำว่าให้เปลี่ยนทุกปีครับ โดยเปลี่ยนในช่วงเริ่มต้นของฤดูฝนดีที่สุด เนื่องจากทุกๆวันที่เราใช้รถเจ้ายางปัดน้ำฝนต้องทนกับแสงแดดที่ร้อนระอุของ ประเทศไทยเรา ซึ่งความร้อนคือศัตรูตัวฉกาจของบรรดายางทุกชนิดอยู่แล้ว ความร้อนจะทำให้ยางปัดน้ำฝน แข็งและกรอบ ทำให้ประสิทธิภาพของยางปัดน้ำฝนลดลง

ในการเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนเราจะพบว่ามีให้เลือกเปลี่ยนสองแบบคือ
1. เปลี่ยนเฉพาะยางปัดน้ำฝน
2.เปลี่ยนทั้งก้านเหล็กและยางปัดน้ำฝน

ที่เราๆท่านๆคุ้นกันมากกว่าน่าจะเป็นการเปลี่ยนแบบที่สองซึ่งเปลี่ยน ค่อนข้างง่ายและสะดวกกว่าโดยมีให้เลือกมากมายหลายยี่ห้อทั้งที่ผลิตในประเทศ และน้ำเข้าจากต่างประเทศ ส่วนแบบแรกนั้นเราจะเปลี่ยนเฉพาะใบยางปัดน้ำฝนซึ่งการเปลี่ยนแบบนี้มักพบใน ศูนย์บริการของผู้ผลิตรถยนต์เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากใบยางเหล่านี้มักจะผลิตภายใต้ยี่ห้อของผู้ผลิตรถยนต์เอง ราคาของการเปลี่ยนทั้งสองแบบนั้นพอๆกัน แต่ประสิทธิภาพนั้นต่างกัน เนื่องจากตัวผมพบว่าใบยางของยี่ห้อผู้ผลิตรถยนต์นั้นมักมีประสิทธิภาพที่ดี กว่าเนื่องจากเนื้อยางนั้นนิ่มกว่าแต่บิดตัวยากกว่า ทำให้ทำความสะอาดกระจกได้อย่างหมดจด แต่การเปลี่ยนแบบที่สองอาจต้องใช้แรงเยอะกว่าหน่อยนะครับ ในส่วนนี้ก็เลือกเอาตามสะดวกครับ

ส่วนต่อมาที่ผมจะกล่าวถึงก็คือยางรถยนต์ครับ
ยางรถยนต์เป็นชิ้นส่วนเดียวของรถยนต์ที่สัมผัสกับพื้นถนนครับเพราะ ฉะนั้นจึงมีความสำคัญอย่างมากในการรักษาความปลอดภัยของชีวิตท่าน
โดย เฉพาะในฤดูฝนที่ถนนค่อนข้างลื่น ผู้ใดที่ใช้ยางที่เสื่อมสภาพคงได้ผมกับความรู้สึกตื่นเต้นและน่ากลัวในการ ขับขี่เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเมื่อดอกยางสึกค่อนข้างมากทำให้ยางไม่สามารถรีดน้ำออกจากหน้ายาง ได้ทันเวลา ทำให้ยางรถยนต์ไม่สามารถสัมผัสกับพื้นถนนได้อย่างเต็มที่และอาจเกิดอาการ เหินน้ำขึ้นได้ โดยเจ้าอาการนี้จะทำให้การควบคุมรถยนต์ของเรายากขึ้นโดยรถยนต์จะมีอาการร่อน เมื่อวิ่งลุยน้ำที่อยู่บนพื้นถนน

เราควรตรวจเช็คสภาพของยางรถยนต์อย่างสม่ำเสมอ โดยการตรวจเช็คเราสามารถดูได้จาก สภาพและอายุของยาง ในส่วนของสภาพยางนั้นให้ดูจากดอกยางว่าเกิดการสึกมากน้อยแค่ไหน มีการบวมหรือไม่ โดยวิธีที่ผู้ผลิตยางรถยนต์ได้กำหนดไว้สำหรับการตรวจเช็คสภาพของดอกยางคือ ให้ดูจากสะพานยาง หลายท่านอาจสงสัยว่าสะพานยางคืออะไร สะพานยางคือเส้นนูนขวางพาดผ่านหน้ายาง กำหนดขึ้นโดยผู้ผลิตยางรถยนต์เพื่อให้สังเกตว่าเมื่อดอกยางสึกจนเสมอกับ สะพานยางนั่นหมายถึงเวลาที่ท่านควรเปลี่ยนยางรถยนต์ได้แล้ว


ท่านสามารถตรวจสะพานยางได้ด้วยตนเอง โดยให้สังเกตที่ส่วนบนสุดของแก้มยางท่านจะเห็นเครื่องหมายที่บ่งบอกถึง ตำแหน่งของสะพานยาง โดยเครื่องหมายนี้จะปรากฏอยู่รอบแก้มยางโดยห่างกันประมาณ 60 องศา
ยี่ห้อทั่วไปมักจะมีเครื่องหมายเป็นรูปสามเหลี่ยม(ดูรูป)

เจ้า เครื่องหมายนี้จะชี้ให้เห็นถึงตำแหน่งของสะพานยาง จากประสบการณ์ของผมพบว่าผู้ใช้รถส่วนใหญ่เปลี่ยนยางก่อนที่ดอกยางจะสึกถึง สะพานยางประมาณ 1-2 มิลลิเมตรเสมอซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เนื่องจากการใช้งานจริงสะพานยางนั้นก็มีโอกาสสึกได้เช่นกันโดยเฉพาะในสภาวะ ที่อากาศร้อนและพื้นผิวถนนร้อนจัดอย่างเช่นประเทศของเรา เพราะฉะนั้นไม่ควรเสี่ยงที่จะใช้ให้ดอกยางสึกถึงสะพานยางตามที่ผู้ผลิตยางรถ ยนต์กำหนด กันไว้ดีกว่าแก้ครับผม 


ส่วนต่อมาคือดูจากอายุของยางรถยนต์โดยท่านสามารถดูได้ที่แก้มยางเช่นกัน โดยที่แก้มยางจะมีตัวเลขสี่หลักปั๊มไว้ (ดูรูป)

โดย สองตัวแรกจะเป็นสัปดาห์ที่ผลิตและสองตัวหลังคือปีที่ผลิตเช่น 4102 ก็คือผลิตเมื่อสัปดาห์ที่ 41 ปี 2002 โดยส่วนใหญ่ยางรถยนต์จะมีอายุการใช้งาน 3 ปีหรือ 50000 กิโลเมตรครับ
สรุปผู้ใช้รถควรเปลี่ยนยางรถยนต์เมื่อดอกยางสึกจนเกือบเท่ากับสะพานยางหรือเมื่อยางรถยนต์มีอายุเกิน 3 ปีหรือ 50000 กิโลเมตร

สุดท้ายที่ผมจะกล่าวถึงก็คือยางหุ้มชิ้นส่วนต่างๆของช่วงล่างเช่น ยางหุ้มเพลาขับและยางหุ้มลูกหมากแร็ค (ดูรูป)


ยางหุ้มลูกหมากแร็ค


ยางหุ้มเพลาขับ

ท่านผู้ใช้รถควรตรวจเช็คยางสองชนิดนี้ให้สม่ำเสมอ เพราะเมื่อยางสองชนิดนี้ ขนาด โอกาสที่เพลาขับและลูกหมากแร็คจะสึกหรอนั้นมีค่อนข้างสูง เนื่องจากจารบีที่อยู่ในยางหุ้มจะไหลออกและฝุ่น ทรายจะเข้าไปแทนที่ ทำให้ชิ้นส่วนเหล่านี้สึกหรอ แทนที่ท่านจะเสียเงินแค่เปลี่ยนยางหุ้มเลาขับและยางหุ้มลูกหมากแร็คซึ่งมี ราคาไม่ถึง 1000 บาทกลายเป็นต้องเปลี่ยนหัวเพลาขับและลูกหมากแร้คซึ่งมีราคาหลายพันบาท วิธีการตรวจเช็คง่ายๆคือหักพวงมาลัยไปด้านใดด้านหนึ่งให้สุดและก้มลงดู โดยใช้ไฟฉายส่อง ท่านจะพบกับเจ้ายางสองตัวนี้ที่ใกล้ๆด้านในของล้อรถยนต์ และนี่คือสิ่งที่ผมกล่าวไว้ตอนเริ่มเรื่องว่าการตรวจเช็คที่สม่ำเสมอสามารถ ประหยัดเงินในกระเป๋าของท่านได้อย่างแน่นอนครับ.

ที่มา : ungkimkee.com

จากลิ้ง http://www.dekvanzclub.in.th/smf/?topic=10106.msg11669;topicseen#msg11669 

Credit : DekvanzClub

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น